Sunday, 22 December 2024 - 10 : 42 am
spot_img
spot_img
spot_img

Splendor-Biz

สื่อเศรษฐกิจสร้างสรรค์

ครบครันบนโลกออนไลน์

spot_img
spot_img
spot_img
Sunday, 22 December 2024 - 10 : 42 am

ราคาเหล็กไทยในปี 2567 คาดหดตัวราว 6% จากปีก่อน ผู้ผลิตเหล็กไทยแข่งขันสูงกับเหล็กนำเข้าจากจีน

  • ศูนย์วิจัยกสิกรไทยคาดว่า ราคาเหล็กไทยเฉลี่ยในปี 2567 หดตัวราว 6% จากปีที่ผ่านมา แต่ยังอยู่ในระดับสูงกว่าช่วงก่อนโควิด-19
  • ผู้ผลิตเหล็กไทยเผชิญการแข่งขันสูงกับเหล็กนำเข้าจากจีน ส่งผลให้การรักษาความสามารถในการทำกำไรของธุรกิจในระยะข้างหน้ายังคงยากลำบากอย่างต่อเนื่อง

ปี 2566 ราคาเหล็กไทยหดตัวเมื่อเทียบกับปีก่อน โดยราคาเหล็กทรงยาวเฉลี่ยอยู่ที่ 22,434 บาท/ตัน ลดลง 12% และเหล็กทรงแบนเฉลี่ยอยู่ที่ 27,683 บาท/ตัน ลดลง 16% ซึ่งเป็นผลมาจากราคาเหล็กโลกที่ปรับลดลงตามความต้องการใช้เหล็กที่หดตัวจากภาวะเศรษฐกิจที่ซบเซาในหลายประเทศ โดยเฉพาะจีนที่เผชิญปัญหาในภาคอสังหาริมทรัพย์ รวมถึงปัจจัยภายในของไทยจากการหดตัวของการลงทุนก่อสร้างภาครัฐตามการอนุมัติงบประมาณปี 2567 ที่ล่าช้า

ศูนย์วิจัยกสิกรไทยคาดว่า ราคาเหล็กไทยในปี 2567 จะยังปรับลดลงจากปีก่อนราว 6% แต่ยังเป็นระดับราคาที่สูงกว่าช่วงก่อนโควิด-19 โดยราคาเหล็กทรงยาวเฉลี่ยอยู่ที่ 21,000 บาท/ตัน และราคาเหล็กทรงแบนเฉลี่ยอยู่ที่ 26,000 บาท/ตัน    

ปัจจัยสำคัญที่ส่งผลต่อการปรับลดลงของราคาเหล็กไทยในปี 2567 เป็นผลมาจาก

– ราคาเหล็กโลกยังมีแนวโน้มปรับลดลง ตามการลงทุนก่อสร้างในหลายประเทศยังมีแรงกดดันจากภาวะเงินเฟ้อ และอัตราดอกเบี้ยที่อยู่ในระดับสูง ส่งผลต่อ   อุปสงค์เหล็กโลกให้เติบโตได้จำกัด โดยเฉพาะความต้องการใช้เหล็กของจีนที่ยังมีทิศทางฟื้นตัวช้าจากปัญหาในภาคอสังหาริมทรัพย์ยังไม่คลี่คลาย ซึ่งสอดคล้องไปกับข้อมูลของ The China Metallurgical Industry and Research Institute ที่คาดการณ์ว่าอุปสงค์เหล็กในจีนน่าจะยังหดตัวต่อเนื่องจากปีที่ผ่านมาราว 1.7% สวนทางกับการผลิตเหล็กของจีนที่ยังอยู่ในระดับสูง

ราคาเหล็กในประเทศถูกกดดันจากการไหลเข้าของเหล็กจีน โดยในปี 2566 ไทยนำเข้าเหล็กและผลิตภัณฑ์เหล็กจากจีนอยู่ที่ราว 6 ล้านตัน หรือเพิ่มขึ้นกว่า 27% เมื่อเทียบกับปีก่อน (รูปที่ 3) ซึ่งอาเซียนยังคงเป็นตลาดส่งออกหลักของจีน คิดเป็นสัดส่วนราว 30% ของปริมาณส่งออกเหล็กทั้งหมด (รูปที่ 4) ทำให้หลายประเทศผู้ผลิตเหล็กในอาเซียนเผชิญการแข่งขันด้านราคาที่รุนแรงขึ้นจากการส่งออกเหล็กของจีนที่นับเป็นปริมาณการส่งออกสูงสุดในรอบ 7 ปี[1] ขณะที่ ไทยเองก็ได้รับผลกระทบจากการเริ่มเห็นข่าวปิดกิจการโรงงานเหล็กทั้งที่เป็น SMEs หรือแม้กระทั่งรายใหญ่[2]

ผู้ผลิตเหล็กไทยแข่งขันลำบากกับเหล็กนำเข้าจากจีนที่ราคาถูกกว่า เนื่องจากไทยต้องพึ่งพิงการนำเข้าเหล็กวัตถุดิบมาผลิต/แปรรูป (คิดเป็นสัดส่วนไม่ต่ำกว่า 60% ของอุปทานเหล็กในประเทศ) ทำให้ต้นทุนวัตถุดิบของไทยสูงกว่าจีนที่ผลิตเหล็กตั้งแต่ต้นน้ำ และมี Economy of scale สะท้อนผ่านราคาเหล็กที่ผลิตในไทยบางรายการสูงกว่าราคาเหล็กนำเข้าจากจีน

ทั้งนี้ ในปี 2566 นอกจากผลของราคาเหล็กที่ลดลงแล้ว ผู้ผลิตเหล็กไทยยังเผชิญรายได้ที่หดตัวมากขึ้นตามยอดขายที่ลดลง (รูปที่ 6) ซึ่งบางรายที่แข่งขันไม่ได้ก็จำเป็นต้องลดการผลิต เห็นได้จากอัตราการใช้กำลังการผลิตเหล็กของไทยยังมีแนวโน้มลดลงต่อเนื่อง (รูปที่ 7) ขณะที่ บางส่วนที่ประคองตัวได้ มีการปรับกลยุทธ์โดยขยายไลน์การผลิตเพื่อลดต้นทุน หรือหันไปผลิตเหล็กเกรดพิเศษต่างๆ ที่สามารถตอบโจทย์การใช้งานที่เฉพาะเจาะจงมากขึ้น ไปจนถึงการยกระดับผลิตภัณฑ์สู่เหล็กคาร์บอนต่ำ

จากสภาพการณ์ดังกล่าว ศูนย์วิจัยกสิกรไทยจึงมองว่า แม้ความต้องการใช้เหล็กในประเทศจะส่งสัญญาณฟื้นตัวในช่วงครึ่งหลังของปีตามการลงทุนก่อสร้างภาครัฐที่กลับมาเดินหน้าได้ แต่ด้วยกำลังการผลิตที่เพิ่มได้ยากจากการแข่งขันสูงกับเหล็กนำเข้า ส่งผลให้การรักษา Margin ของผู้ผลิตเหล็กไทยยังเผชิญความยากลำบากอย่างต่อเนื่อง


[1] อ้างอิงจากการรายงานของ Nikkei Asia

[2] อ้างอิงจากการรายงานของ ฐานเศรษฐกิจ

ข่าวล่าสุด