กลุ่ม “แซง-โกแบ็ง” ตั้งเป้าเป็นองค์กร “Carbon Neutrality” ในปี 2593 ยกทัพทีม ผบห.จัดเสวนา “ยกระดับความท้าทายเพื่ออนาคตที่ยั่งยืน ส่งเสริมการเปลี่ยนแปลงเชิงบวกในอุตสาหกรรมการก่อสร้างของประเทศไทย” ตอกย้ำดำเนินธุรกิจควบคู่การรักษาสิ่งแวดล้อมอย่างยั่งยืน
นายเบอร์นัว บาร์แซง ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร กลุ่ม แซง-โกแบ็ง เปิดเผยในงานเสวนาภายใต้หัวข้อ “ยกระดับความท้าทายเพื่ออนาคตที่ยั่งยืน ส่งเสริมการเปลี่ยนแปลงเชิงบวกในอุตสาหกรรมการก่อสร้างของประเทศไทย” หรือ Elevate ambitions for a Sustainable Future, fostering positive change in Thailand’s construction industry ว่าเพื่อเป็นการตอกย้ำการเป็นองค์กรที่มีแนวทางการทำธุรกิจแบบยั่งยืนควบคู่ไปกับการรักษาสิ่งแวดล้อมในระดับสากล โดยมี นายเบอร์นัว บาร์แซง ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร กลุ่ม แซง-โกแบ็ง, ดร.วิจารย์ สิมาฉายา ผู้อำนวยการสถาบันสิ่งแวดล้อมไทย, ดร.สุจิตรา วาสนาดำรงดี นักวิจัยสถาบันวิจัยสภาวะแวดล้อม จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย, นายเอกสิทธิ์ ลัคนานิธิพันธุ์ ผู้อำนวยการฝ่ายธุรกิจ และพัฒนาธุรกิจคาร์บอนต่ำ กลุ่มบริษัท ดาว (ประเทศไทย) จำกัด, นายเสถียร เลี้ยววาริณ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารฝ่ายความยั่งยืน บริษัท เอสซีบี เอกซ์ จำกัด (มหาชน), นายปาทรีซ บาร์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท บวิค-ไทย จำกัด และนายเฑียร จึงวิรุฬโชตินันท์ อำนวยการฝ่ายการตลาด บริษัท คอรัล ไลฟ์ จำกัด เข้าร่วมเสวนาและแลกเปลี่ยนความคิดเห็นในการพัฒนาอุตสาหกรรมก่อสร้างของประเทศไทยให้ควบคู่ไปกับการรักษาสิ่งแวดล้อม รวมถึงนโยบายความเป็นกลางทางคาร์บอนของกลุ่มแซง-โกแบ็ง และระบบธุรกิจหมุนเวียน (circular economy) เพื่อเป็นแนวทางในการร่วมกันสร้าง และพัฒนาธุรกิจอย่างยั่งยืน โดยมีเป้าหมายในการก้าวสู่การเป็นผู้นำโซลูชั่นการก่อสร้างในรูปแบบ “light and sustainable construction”
โดยที่กลุ่มบริษัทแซง-โกแบ็ง ยังมีแนวทางในการดำเนินธุรกิจซึ่งนอกเหนือจากการมุ่งมั่นพัฒนา Solution แล้ว ยังคำนึงถึงคุณภาพชีวิตของผู้อยู่อาศัยอย่างยั่งยืน ซึ่งการมุ่งเน้นในเรื่อง Sustainability ก็เป็นอีกหนึ่งเป้าหมายที่สำคัญของกลุ่มบริษัทแซง-โกแบ็งมาโดยตลอด โดยการทำให้โลกของเราเป็นบ้านที่น่าอยู่ยิ่งขึ้นกว่าเดิมตามวัตถุประสงค์ของกลุ่มบริษัทที่ว่า “Making the world a better home” ตั้งแต่การเลือกใช้วัสดุ กระบวนการผลิต ระบบเศรษฐกิจหมุนเวียน (circular economy) การประเมินวัฏจักรชีวิต (LCA) และการใช้พลังงานทดแทน ซึ่งได้มีการกำหนดเป้าหมายด้านสิ่งแวดล้อมมาอย่างต่อเนื่องตลอดเวลา 10 ปีที่ผ่านมา โดยได้มีการกำหนดวัตถุประสงค์ทางด้านสิ่งแวดล้อมในช่วงเวลาต่าง ๆ ให้สอดคล้องกับกฏบัตรด้านสิ่งแวดล้อม EHS โดยมีเป้าหมายสำคัญในการขับเคลื่อนสู่องค์กรที่เป็นกลางทางคาร์บอน ภายในปี 2593 ดังนั้นกลุ่มบริษัทแซง-โกแบ็ง จึงได้ส่งเสริมบทบาทในการป้องกัน และบรรเทาการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศร่วมกันกับทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้อง ไม่ว่าจะเป็นพนักงาน นักลงทุน ผู้กำหนดนโยบาย ลูกค้า ซัพพลายเออร์ องค์กรภาคประชาสังคม และผู้มีส่วนได้ส่วนเสียอื่นๆ อีกด้วย
ในขณะที่ภาพรวมของอุตสาหกรรมก่อสร้างในปี 2567 กลุ่มบริษัทแซง-โกแบ็งมองว่าเป็นปีที่ท้าทาย ทั้งเรื่องของต้นทุนสินค้า, งบประมาณการก่อสร้าง, ค่าแรงที่สูงขึ้น และการขาดแคลนแรงงาน รวมถึงการแข่งขันด้านราคาที่สูงมาก ทำให้กลุ่มบริษัทแซง-โกแบ็งมองเห็นโอกาสในการใช้นวัตกรรมที่มีความชำนาญมาสร้างความแตกต่างเพื่อนำเสนอให้กับลูกค้า ด้วยการมุ่งเน้นพัฒนา Innovation, System และ Solution ให้เป็น Practical Innovation โดย Solution เหล่านี้จะเน้นเรื่องการแก้ปัญหาต่างๆที่เกิดจากการใช้งานจริงจากการก่อสร้างเพื่อการอยู่อาศัยที่ดียิ่งขึ้น การลดการใช้พลังงาน และการลดต้นทุนการซ่อมแซมในระยะยาว รวมถึงการให้คำปรึกษาจากทีมงานเทคนิคที่เชี่ยวชาญทำให้เกิดประสิทธิภาพ และคุณภาพในการก่อสร้างที่ดียิ่งขึ้น สร้างความพึงพอใจให้ผู้ใช้ และผู้อยู่อาศัยมากขึ้น ซึ่งสิ่งเหล่านี้จะสามารถนำมาต่อยอดธุรกิจขายปลีก และขายส่ง รวมถึงทำให้สินค้าเป็นที่รู้จัก และยอมรับในคุณภาพที่มากขึ้น ทำให้เกิดมูลค่าเพิ่มในห่วงโซ่อุปทาน หรือ Supply Chain ทั้งระบบ เพื่อส่งต่อคุณภาพชีวิตที่ดีสู่ผู้อยู่อาศัย และประโยชน์สูงสุดกับผู้มีส่วนได้เสียทั้งหมด
โดยกลุ่มบริษัทแซง-โกแบ็ง ได้จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ปารีส ลอนดอน แฟรงก์เฟิร์ต ซูริก บรัสเซลส์ และอัมสเตอร์ดัม โดยแบ่งเป็น 3 กลุ่มธุรกิจหลักๆ คือ
1.กลุ่มวัสดุก่อสร้าง (Construction Materials) ประกอบด้วย
- โซลูชั่นงานฝ้าเพดาน และผนังเบายิปซัม ยิปรอค หรือ Gyproc ซึ่งเป็นโรงงานผลิตภัณฑ์ยิปซัมแห่งแรกในประเทศไทย
- เวเบอร์ (Weber) กาวซีเมนต์ ยาแนว ระบบกันซึม และเคมีภัณฑ์ ผลิตภัณฑ์มอร์ตาร์สำหรับงานก่อสร้าง และงานซ่อมแซม ซึ่งมีทีมพัฒนา R&D ทั้งในประเทศไทย และทั่วโลก
- โซลูชั่นฉนวนกันร้อน และกันเสียง อิโซแวร์ หรือ Isover และท่อแอร์แบบมีฉนวนในตัว Climaver
- แซง-โกแบ็ง กล๊าส (Saint-Gobain Glass) กระจกแผ่นเรียบคุณภาพสูงสำหรับบ้าน และอาคาร
- แพม (PAM) โซลูชั่นท่อส่งก๊าซ ท่อน้ำแบบครบวงจร
- กลุ่มอุตสาหกรรม (Industry) ประกอบด้วย
- ฟอร์มูล่า (Formula) ปูนปลาสเตอร์อุตสาหกรรมคุณภาพสูง
- นอร์ตั้น แอบราซีฟส์ (Norton Abrasives) ผลิตภัณฑ์ใบตัด เจียร ตัด ขัด เจาะ คุณภาพสูง
- พีพีแอล (PPL) ผลิตภัณฑ์โพลิเมอร์ประสิทธิภาพสูง
3.กลุ่ม Mobility ผลิตภัณฑ์กระจกรถยนต์ ซีคิวริท (Sekurit) สำหรับอุตสาหกรรมยานยนต์
ด้าน นายเอกสิทธิ์ ลุคนานิธิพันธุ์ ผู้อำนวยการฝ่ายธุรกิจและพัฒนาธุรกิจคาร์บอนต่ำ กลุ่มบริษัท ดาว (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวว่า ดาวฯเป็นบริษัทฯที่ดำเนินธุรกิจด้านความยั่งยืนของวัตถุดิบ โดยผลิตวัตถุดิบและสนับสนุนด้านความยั่งยืน เพื่อขับเคลื่อนเศรษฐกิจให้ยั่งยืน ซึ่งโฟกัสในเรื่องของ Packaging รวมถึงโครงสร้างพื้นฐานที่ใช้ทำผลิตภัณฑ์ ซึ่งบริษัทผลิต ผลิตภัณฑ์ทั้งด้านเฮลท์แคร์ และความงาม อย่างแรกคือ ต้องการนำของกลับมาใช้ ซึ่งทำให้เกิดเป็นกระบวนการ ให้ขยะพลาสติกเป้นขยะที่มีคุณภาพด้วยการสร้างเป็นห่วงโซ่ที่มีคุณภาพ
“ซึ่งเชื่อมั่นว่าจะเป็นการเดินทางไปสู่ความยั่งยืนของเรา ไม่ว่าจะเป็นการลดขยะ หรือรีไซเคิลขยะ เพื่อทำความยั่งยืนให้เป็นในเชิงพาณิชย์ รวมไปถึงการสนับสนุนความยั่งยืนในหลายๆด้านด้วยกัน” นายเอกสิทธิ์ กล่าว
ดร.สุจิตรา วาสนาดำรงดี นักวิจัย สถาบันวิจัยสภาวะแวดล้อม จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย กล่าวว่า สถาบันดังกล่าวเป็นหน่วยงานใหม่ที่เพิ่งก่อตั้งขึ้นมาไม่กี่ปี ที่วิจัยเกี่ยวกับสภาพอากาศและสิ่งแวดล้อม รวมไปถึงการจัดการขยะที่เป็นของแข็ง และการเชื่อมโยมเศรษฐกิจหมุนเวียน หากพูดในไทยก็จะรวมไปถึงการประหยัดพลังงานด้วย และออกแบบผลิตภัณฑ์ที่เป็นความยั่งยืน ซึ่งทางจุฬาฯได้มีการริเริ่มให้ขยะเป็นศูนย์ เพื่อให้ตระหนักถึงความสำคัญของการนำขยะมาใช้ประโยชน์ ซึ่งได้ทำงานกับบีเอ็นเอ ประเทศไทย และทำเป็นโครงการนำร่องในระดับประเทศ และได้เห็นเป็นเศรษฐกิจหมุนเวียน ส่งผลในเชิงบวก ได้เห็นว่าระบบนิเวศในเศรษฐกิจหมุนเวียนนั้น มีหลายองค์กรที่ให้การสนับสนุนเป็นจำนวนมาก
นายเสถียร เลี้ยววาริณ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารฝ่ายความยั่งยืน บริษัท เอสซีบี เอกซ์ จำกัด(มหาชน) หรือ SCBX กล่าวว่า วิธีที่จะทำให้เกิดประสบความสำเร็จ ก็ต้องมีเงินทุน ซึ่ง SCBX ก็ถือเป็นส่วนหนึ่งเช่นกัน และตั้งเป้าความเป็นศูนย์กลางทางคาร์บอนในในปี 2050 และปีนี้ธปท.ได้สร้างศูนย์กลางความเป็นแทค(ความเป็นเขียว)จากสนธิสัญญาปารีส ซึ่งพยายามที่จะก้าวไปให้ถึงเป้าหมาย และปีนี้มุ่งเน้นไปที่ภาคส่วนด้านพลังงาน ส่วนการเงินมุ่งเป้าด้าน Playbook ไปที่ปี 2030 และบริบทของธุรกิจไม่ใช่ธนาคารเพียงอย่างเดียว แต่โฟกัสไปถึงการลงทุน สภาพภูมิอากาศ ที่นำเทคโนโลยีที่เกี่ยวกับ Climate Change และได้มีการทำวิจัยว่าอะไรเป็นปัญหาด้านภูมิอากาศในช่วง 5-10 ปีข้างหน้า รวมไปถึงภาคการเกษตรด้วย ซึ่งพยายามให้องค์กรต่างๆมีความเป็นกลางทางคาร์บอนและ Net Zero ด้วย
“ธนาคารได้โฟกัสว่าอะไรคือผลกำไร ซึ่งถือว่าเป็นความท้าทายของบอร์ด ว่าจะทำอย่างไรให้โลกน่าอยู่มากขึ้น ซึ่งชื่นชอบนโยบายของ แซง-โกแบ็ง เป็นอย่างมาก คิดว่าอีก 20 กว่าปีข้างหน้า ไม่ใช่เรื่องที่นานเลย จึงคิดว่าทุกคนต้องร่วมกับรับผิดชอบ ซึ่งธนาคารได้ผลักดันธุรกิจทางด้านการเงินของเรา ให้ตรงตามมาตรฐาน รวมไปถึงผลกระทบต่อสุขภาพของทุกคนด้วย” นายเสถียร กล่าว
นายปาทรีซ บาร์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท บวิค-ไทย จำกัด กล่าวว่า บริษัทฯดำเนินธุรกิจอยู่ในประเทศไทยมากว่า 20 ปี ซึ่งให้การสนับสนุนลดการปล่อยคาร์บอนมาโดยตลอด และพบว่าเป็นความท้าทายในอุตสาหกรรมการก่อสร้างเป็นอย่างมาก ซึ่งจะโฟกัสในเรื่องของ การใช้คอนกรีตในอุตสาหกรรมก่อสร้าง ว่าทำอย่างไรจะสร้างให้เป็นอาคารที่มีประสิทธิภาพ ซึ่งสิ่งที่ประสบก็คือ ในวัตถุดิบต่างๆ พยายามจะลดการปล่อยคาร์บอนให้ได้มากที่สุด ซึ่งต้องได้รับความร่วมมือกับลูกค้าและซัพพลายเออร์ต่างๆด้วย ซึ่งสร้างแพลตฟอร์มต่างๆขึ้นมา เช่น ใช้รถบรรทุก น้ำมันประเภทไหน เมื่อได้ผลลัพธ์ต่างๆก็นำมาประเมินว่ามีการปล่อยคาร์บอนมาน้อยเพียงใด โดยมีการประเมินทุก 3 เดือน 6 เดือน และ 1 ปี ซึ่งใช้เวลานานพอสมควรในการวิเคราะห์ว่าส่วนที่ปล่อยคาร์บอนในไซต์งานมีเท่าไหร่บ้าง โดยจะทำให้เกิดความเหมาะสมมากที่สุด โดยจัดหมวดหมู่ซัพพลายเออร์เป็น 4 หมวดหมู่ ว่าซัพพลายเออร์ไหนปล่อยคาร์บอนมากที่สุด
“คิดว่าผู้กำกับดูแล มีความสำคัญ อาคารที่เกิดขึ้นหลายปี จะต้องสร้างให้เป็นอาคารที่ประหยัดพลังงาน ปล่อยคาร์บอนได้น้อยลง โดยมีการปรับปรุงอาคารที่เก่าแก่ ซึ่งในประเทศไทยมีการปล่อยคาร์บอนเป็นจำนวนมาก เทียบกับอาคารสูงถึง 300 ชั้นเลยทีเดียว”นายปาทรีซ กล่าว
นายเฑียร จึงวิรุฬโชตินันท์ ผู้อำนวยการฝ่ายการตลาด บริษัท คอรัล ไลฟ์ จำกัด กล่าวว่า อุตฯก่อสร้างถือว่ามีการปล่อยคาร์บอนมาก ซึ่งต้องดูวัตถุดิบที่ได้รับการรับรอง Green Label และมองไปถึงต้นกำเนิดวัตถุดิบด้วย เพื่อใช้ในอุตฯก่อสร้างที่สำคัญ โดยเทรนด์ระดับโลกที่ตระหนักคือ การลดการเปลี่ยนแปลงของสภาวะภูมิอากาศ ทุกคนตั้งเป้าเหมือนกันเพื่อสู่เป้าหมาย คือ การที่จะทำให้อุณหภูมิไม่สูงขึ้นไปกว่าที่สนธิสัญญาปารีสกำหนด รักษาอุณหภูมิเฉลี่ยของโลก ให้ต่ำกว่า 2 องศาเซลเซียส เหนืออุณหภูมิในช่วงก่อนการพัฒนาอุตสาหกรรม และพยายามจำกัดให้อุณภูมิโลกต่ำกว่านั้นประมาณ 1.5 องศาเซลเซียสซึ่งหลายๆประเทศได้พยายามที่จะปรับตัว และหลายบริษัทก็ต้องเร่งดำเนินการ และอนาคตข้างหน้าจะต้องวัดว่าแต่ละบริษัทฯที่รายงานผลมานั้น ดำเนินการจริงหรือไม่ ซึ่งจะต้องมีบริษัทที่เข้าไปดำเนินการด้านนี้ เพื่อให้ประเทศไทยบรรลุเป้าหมาย