
เมื่อวันที่ 22 สิงหาคม 2568 สำนักงานคณะกรรมการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย (สำนักงาน คปภ.) ร่วมกับกองทุนทดแทนผู้ประสบภัย จัดกิจกรรม Road Safety Week “ปราจีนขับขี่ปลอดภัย สไตล์ Gen Z” ภายใต้ โครงการเยาวชนปลอดภัยกับการประกันภัยภาคบังคับ (Smart Education Smart Youth) ณ โรงเรียนศรีมหาโพธิ จังหวัดปราจีนบุรี โดยมีนายอาภากร ปานเลิศ รองเลขาธิการ ด้านกำกับธุรกิจประกันภัย สำนักงาน คปภ. พร้อมด้วยคณะผู้บริหาร สำนักงาน คปภ. ผู้แทนจากสมาคมประกันชีวิตไทย สมาคมประกันวินาศภัยไทย และบริษัทประกันภัย เข้าร่วมในพิธีอย่างคับคั่ง โดยมี นางสาวจุฑามาศ บัวเผื่อน นายอำเภอศรีมหาโพธิ และนางนรีรัตน์ ย่างเล้ง ผู้อำนวยการโรงเรียนศรีมหาโพธิ ให้การต้อนรับ
นางมยุรินทร์ สุทธิรัตนพันธ์ ผู้ทรงคุณวุฒิพิเศษ สำนักงาน คปภ. กล่าวเปิดโครงการ โดยมีใจความสำคัญตอนหนึ่งว่า โครงการ “เยาวชนปลอดภัยกับการประกันภัยภาคบังคับ (Smart Education Smart Youth)” จัดขึ้นด้วยความตั้งใจของ สำนักงาน คปภ. ร่วมกับกองทุนทดแทนผู้ประสบภัย โดยมีเป้าหมายเพื่อสร้าง “สถานศึกษาและเยาวชนต้นแบบ” ภายใต้โครงการสร้างพื้นที่ต้นแบบด้านความปลอดภัยทางถนนและการรณรงค์ประกันภัยภาคบังคับ ทั้งนี้ ในปี 2568 สำนักงาน คปภ. ได้กำหนดให้จังหวัดปราจีนบุรีเป็นพื้นที่นำร่องในการดำเนินมาตรการต่าง ๆ พร้อมวิจัยจากสถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย (TDRI) ลงพื้นที่เก็บข้อมูลและทำงานร่วมกับหน่วยงานในพื้นที่อย่างใกล้ชิด และคัดเลือกสถานศึกษาที่เข้าร่วมโครงการจำนวน 5 แห่ง ได้แก่ วิทยาลัยการอาชีพกบินทร์บุรี วิทยาลัยเทคนิคปราจีนบุรี โรงเรียนปราจีนกัลยาณี โรงเรียนปราจิณราษฎร์อำรุง และโรงเรียนศรีมหาโพธิ โดยมีเป้าหมายหลัก 3 ประการ คือ “เสริมความรู้” เพื่อให้เยาวชนเข้าใจเรื่องประกันภัยภาคบังคับ (พ.ร.บ.) และการใช้รถใช้ถนนอย่างปลอดภัย “สร้างสำนึก” ปลูกฝังความตระหนักในสิทธิ หน้าที่ และวินัยจราจร เพื่อความรับผิดชอบต่อตนเองและสังคม และ “ส่งต่อความเป็นต้นแบบ” ผลักดันให้เกิดเยาวชนและสถานศึกษาต้นแบบที่สามารถขยายผลสู่ครอบครัว ชุมชน และพื้นที่อื่น ๆ ได้อย่างยั่งยืน ซึ่งก่อนหน้านี้ได้ดำเนินกิจกรรมครบแล้ว 4 แห่ง และในวันนี้ โรงเรียนศรีมหาโพธิได้รับเกียรติเป็นสถานศึกษาต้นแบบแห่งสุดท้าย ปิดท้ายการดำเนินโครงการประจำปี 2568 อย่างสมบูรณ์
ทั้งนี้ สถานศึกษาที่เข้าร่วมโครงการทั้ง 5 แห่ง ล้วนเป็นโรงเรียนขนาดใหญ่ใน 3 อำเภอหลักของจังหวัดปราจีนบุรี ซึ่งเป็นพื้นที่ที่มีสถิติการเกิดอุบัติเหตุและการเสียชีวิตจากรถจักรยานยนต์อยู่ในระดับสูง โดยผู้ประสบอุบัติเหตุส่วนใหญ่อยู่ในช่วงอายุ 15–24 ปี หรือกลุ่มเยาวชนโดยตรง ปัจจัยดังกล่าวจึงเป็นที่มาของการจัดกิจกรรม Road Safety Week เพื่อสร้างการรับรู้ด้าน ความปลอดภัยทางถนนและการประกันภัยภาคบังคับให้แก่นักเรียนในวัยเรียน ซึ่งถือเป็นกลุ่มเสี่ยงสำคัญของจังหวัด โดยจากข้อมูลสถิติการใช้รถจักรยานยนต์ของเยาวชนจากสถานศึกษาทั้ง 5 แห่งที่เข้าร่วม จำนวนทั้งสิ้น 500 คน พบว่า มีการจัดทำประกันภัยภาคบังคับ (พ.ร.บ.) 137 คัน หรือคิดเป็นร้อยละ 27.4 ซึ่งสะท้อนว่า ส่วนใหญ่ยังขาดการจัดทำ พ.ร.บ. จึงเป็นโอกาสสำคัญที่โครงการฯ จะเข้าไปส่งเสริม สนับสนุน และรณรงค์ให้รถจักรยายนต์ที่ใช้ มีการจัดทำ พ.ร.บ. อย่างต่อเนื่องได้อย่างตรงจุด อย่างไรก็ตาม ผลการทดสอบหลังเข้าร่วมกิจกรรม (Post-Test) เฉลี่ยสูงถึงร้อยละ 95 แสดงให้เห็นชัดเจนว่ากิจกรรมครั้งนี้ มีประสิทธิผลสูง สามารถสร้างความรู้ ความเข้าใจ และปลูกจิตสำนึกด้านความปลอดภัยทางถนน รวมถึงสิทธิประโยชน์ตามกฎหมายว่าด้วยการคุ้มครองผู้ประสบภัยจากรถได้อย่างแท้จริง โดยกิจกรรมที่จัดขึ้น ประกอบด้วย 4 ฐานความรู้ ได้แก่ ฐานการส่งเสริมการทำใบขับขี่และ พ.ร.บ. ฐานการทดลอง Blind-Spot, ฐานไขรหัส พ.ร.บ. และฐานการทดสอบหมวกนิรภัย โดยมีทีมวิทยากรจากสำนักงาน คปภ. สำนักงานขนส่งจังหวัด ตำรวจภูธรภาค 2 และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ร่วมถ่ายทอดความรู้และประสบการณ์ตรง นอกจากนี้ ยังมีเวทีเสวนาจากหน่วยงานภาครัฐ ทีมวิจัย TDRI และนักเรียนผู้ขับขี่จริง เพื่อเปิดพื้นที่การแลกเปลี่ยนเรียนรู้เชิงปฏิบัติ พร้อมนี้ได้มอบหมวกนิรภัยมาตรฐานให้กับนักเรียนที่มีการจัดทำ พ.ร.บ. รวม 137 ใบ
“โครงการนี้ไม่เพียงมุ่งเสริมสร้างความรู้ แต่ยังวางรากฐานสู่มาตรการในระดับพื้นที่ อาทิ การสนับสนุนให้นักเรียนทำใบขับขี่รถจักรยานยนต์อย่างถูกต้อง และการผลักดันให้เกิดถนนต้นแบบปลอดภัย ในเขตเทศบาลเมืองปราจีนบุรี ภายใต้มาตรการบังคับใช้หมวกนิรภัย 100% และการปรับปรุงจุดข้ามถนนที่เสี่ยงอันตราย ซึ่งความปลอดภัยบนท้องถนนไม่ใช่หน้าที่ของใครคนหนึ่ง หากแต่เป็นพันธกิจร่วมกันของทุกภาคส่วน โดยเฉพาะเยาวชนคนรุ่นใหม่ ที่เป็นทั้งพลังแห่งการเปลี่ยนแปลง ความหวังของครอบครัว และอนาคตของประเทศชาติ ทั้งหมดนี้สะท้อนว่าโครงการฯ ไม่ได้เป็นเพียงกิจกรรมครั้งเดียวจบ แต่ควรได้รับการขยายผลอย่างต่อเนื่อง เพื่อสร้างการเปลี่ยนแปลงเชิงพฤติกรรมอย่างยั่งยืน หากสามารถต่อยอดให้เยาวชนเหล่านี้เป็น “เยาวชนต้นแบบ” “สถานศึกษาต้นแบบ” และ “พื้นที่ต้นแบบ” ก็จะช่วยลดความสูญเสียจากอุบัติเหตุได้จริงและเป็นจุดเริ่มต้นสำคัญของการสร้างวัฒนธรรมความปลอดภัยที่จะขยายผลสู่จังหวัดอื่นทั่วประเทศต่อไป” ผู้ทรงคุณวุฒิพิเศษ สำนักงาน คปภ. กล่าวในตอนท้าย