ปัจจุบันปัญหาเรื่อง ‘โลกร้อน’ ได้เปลี่ยนผ่านมาเป็น ‘โลกเดือด’ เป็นที่เรียบร้อย แม้แต่กรุงเทพมหานครซึ่งแต่ไหนแต่ไรคุ้นเคยกับอุณหภูมิสูงอยู่เป็นปกติยังพบว่าจากเดิมที่ปี 2014 อุณหภูมิสูงสุดของกรุงเทพเคยอยู่ที่ 37 องศา แต่ในปี 2024 นี้ อุณหภูมิสูงสุดได้ทะลุเกิน 40 องศาไปแล้ว ควบคู่ไปกับสภาพอากาศที่แปรปรวน เช่นกรณีการตกหลุมอากาศที่รุนแรงของเครื่องบินสิงคโปร์แอร์ไลน์ครั้งล่าสุด อันเป็นผลพวงจากอากาศที่ร้อนขึ้น
ในจังหวะนี้ เห็นได้ชัดว่า ESG ได้ก้าวกระโดดจากเพียงแนวคิดของการทำความดีเพื่ออนาคต มาสู่ความมั่นคงในปัจจุบันต่อทั้งธุรกิจและผู้บริโภค เนื่องจากความเปลี่ยนแปลงทางภูมิอากาศสามารถเพิ่มต้นทุนและความเสี่ยงที่จับต้องได้และใกล้ตัวมากขึ้น และด้วยเหตุนี้ หากผู้เล่นคนไหนไม่สามารถชูเรื่อง ESG ได้อย่างโดดเด่น อาจกลายเป็นธุรกิจนอกสายตาของนักลงทุนไปโดยปริยาย
การเริ่มต้นผนวก ESG เข้าไปเป็นส่วนหนึ่งของทุกกระบวนการในธุรกิจจึงเป็นเรื่องที่ไม่อาจรีรอ เมื่อวันที่ 23 พฤษภาคมที่ผ่านมา กลุ่มธุรกิจการเงินเกียรตินาคินภัทร (KKP) จึงได้จัดงานสัมนา ‘KKP Shaping Tomorrow เราปรับ-โลกเปลี่ยน’ เพื่อให้ความรู้เกี่ยวกับ ESG และคำแนะนำในการเปลี่ยนผ่านสู่ความยั่งยืนของแวดวงอสังหาริมทรัพย์ ซึ่งเป็นหนึ่งในกลุ่มธุรกิจหลักของลูกค้าธนาคาร โดยได้รวบรวมผู้คร่ำหวอดในวงการมานานร่วมสนทนา พร้อมชี้ให้เห็นมุมมองและแนวทางการเปลี่ยนผ่านที่น่าสนใจ
แวดวงอสังหาริมทรัพย์กับ ESG
หากมองจากมุมของธุรกิจสินเชื่อของธนาคาร ที่วันนี้หันมาสนับสนุนธุรกิจที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมมากขึ้น นายสุรัตน์ ลีลาทวีวัฒน์ รองกรรมการผู้จัดการใหญ่ ประธานสายสินเชื่อธุรกิจ ธนาคารเกียรตินาคินภัทร ได้อธิบายให้เห็นว่า กลุ่มธุรกิจที่ปล่อยก๊าซเรือนกระจกมากสุดคือภาคพลังงาน ภาคการขนส่ง และการก่อสร้าง ดังนั้น ในเมื่อกลุ่มธุรกิจอสังหาริมทรัพย์เป็นผู้ดำเนินการและใช้วัสดุก่อสร้างโดยตรง และอาคารบ้านเรือนก็จำเป็นต้องใช้ไฟฟ้าอยู่ตลอดเวลา ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์จึงมีส่วนสำคัญกับการลดก๊าซเรือนกระจก ผู้ประกอบการในไทยจึงต้องให้ความสนใจกับเรื่องนี้ เพื่อลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมและความเสี่ยงทางธุรกิจก่อนที่จะสาย นี่คือสาเหตุที่บ้านหรืออาคารยุคใหม่เน้นเรื่องของการ ‘เลือกวัสดุ’ ที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม ส่งเสริมการประหยัดพลังงาน มีการติดตั้งพลังงานทางเลือก และการออกแบบให้อยู่สบายได้กับธรรมชาติ เพื่อช่วยลดการใช้ไฟฟ้า
“จากตัวอย่างที่เราลองคำนวนออกมา บ้านทาวน์เฮาส์ขนาด 2-4 ล้านบาทจะมีการปล่อยก๊าซเรือนกระจกราว 26 ตันต่อหลัง ถ้าเราปลูกต้นไม้หนาแน่นในที่ดินหนึ่งไร่ จะดูดซับคาร์บอนได้ปีละประมาณ 1.2 ตันเท่านั้นเอง จะเห็นได้ว่าบ้านพื้นที่ประมาณเพียง 20 ตารางวา แต่ใช้เวลาเป็นสิบปี ต้นไม้หนึ่งไร่นั้นก็ยังดูดซับคาร์บอนที่เกิดขึ้นได้ไม่หมด อุตสาหกรรมอสังหาริมทรัพย์จึงต้องกลับมาพิจารณาเรื่องนี้ เพราะการเลือกวัสดุก่อสร้างที่ปล่อยก๊าซเรือนกระจกต่ำนั้น สามารถช่วยลดการปล่อยคาร์บอนได้ถึง 10% โดยไม่เพิ่มต้นทุนในการก่อสร้าง แค่เราเลือกของให้ถูกต้อง ก็สร้างผลกระทบได้สูงอย่างยิ่ง”
นอกจากการเลือกวัสดุ นายสุรัตน์ยังเน้นถึงอีกเรื่องสำคัญว่าโครงการต้องคำนวนให้ชัดเจนว่าค่า Emission คิดเป็นจำนวนเท่าไหร่ เพราะไม่ใช่แค่ว่าหยิบจับวัสดุรักษ์โลกมาแล้วจะกลายเป็น Green Project ทันที ถ้าคำนวนไม่ได้ก็บริหารจัดการไม่ได้และไม่มีประโยชน์ การใช้เครื่องมือหรือโซลูชันในการติดตามและวัดผลของอาคารจึงเป็นเรื่องสำคัญ และจะกลายเป็นสิ่งจำเป็นได้ในอนาคตอันใกล้
ความต่างที่ชัดเจน
นายเจมส์ ดูอัน ประธานกรรมการและผู้ก่อตั้ง บริษัท คอรัล โฮลดิ้ง จำกัด หนึ่งในผู้ประกอบการด้านนวัตกรรมสีเขียวชั้นนำของประเทศไทยได้ยกตัวอย่างจากประสบการณ์เพื่อให้เห็นภาพถึงความเปลี่ยนแปลงที่วัสดุและการออกแบบสามารถสร้างความต่างได้ชัดเจน
“ถ้าดูจาก EUI (Energy Use Intensity หรือ อัตราการใช้พลังงานของกิจกรรม) การใช้พลังงานในอาคารของประเทศไทยเฉลี่ยอยู่ที่ประมาณ 280 กิโลวัตต์ต่อตารางเมตรต่อปี ส่วนสิงคโปร์ประมาณ 225 กิโลวัตต์ต่อตารางเมตรต่อปี แต่ตึกออฟฟิศของคอรัลที่สุขุมวิท 39 มี EUI อยู่ที่ 68 กิโลวัตต์ต่อตารางเมตรต่อปี อันนี้ยังไม่มีโซลาร์เซลล์ ถ้าเราใช้แนวคิดเรื่อง EUI ต่ำ ก็จะตอบโจทย์ในเรื่องการลดการปล่อยคาร์บอน และลูกค้าก็จะสามารถประหยัดพลังงานได้ด้วย
เรื่องความร้อน มีสองส่วนใหญ่ คืออาคาร กับเครื่องจักร (Mechanics) ที่อยู่ในอาคาร กรอบอาคารเราสามารถกันความร้อนเข้ามาได้ประมาณ 70% ส่วนอีก 30% เป็นเรื่องของ Internal Heat Gains ซึ่งเป็นความร้อนที่เกิดจากเครื่องใช้ไฟฟ้าภายในอาคารและคนในบ้าน ที่ต้องประหยัดพลังงาน โดยปกติแล้ว พื้นที่ 1 ตารางเมตรจะใช้เครื่องปรับอากาศขนาด 1,000 BTU แต่อาคารที่เราออกแบบจะใช้ขนาดไม่เกิน 250 BTU เพราะว่าความร้อนไม่เข้ามาตั้งแต่ต้น”
‘สีเขียว’ แพงกว่า จริงหรือไม่?
ในขณะที่ตัวแทนจากเอสซีจี นายวชิระชัย คูนำวัฒนา Head of Smart System Solution Business บริษัท เอสซีจี ซิเมนต์–ผลิตภัณฑ์ก่อสร้าง จำกัด ได้คลายข้อสงสัยว่า “ผู้ประกอบการ แน่นอนต้องคิดถึงต้นทุน แต่บ่อยครั้งเรามองแต่ต้นทุนเริ่มต้น (Initial Cost) ไม่ได้มองถึงวงจรท้ายสุด (Last Cycle) พูดง่ายๆ ก็คือต้นทุนตอนสร้างกับต้นทุนตอนอยู่ ซึ่งจริงๆ แล้วตอนอยู่สามารถคืนทุนได้ โดยเฉพาะถ้าเป็นอาคารที่เราใช้เอง ดังนั้นอย่าไปมองการก่อสร้างเป็นต้นทุนทั้งหมด แต่มองเป็นการลงทุนน่าจะคุ้มกว่า คือทุกครั้งที่ลงทุน มั่นใจว่าจะสามารถประหยัดพลังงาน ประหยัดค่าไฟที่คุ้มค่ากับการลงทุนได้แน่นอน
ต้นทุนตอนสร้างมาจากการเลือกใช้วัสดุ ซึ่งในช่วงหลังเทคโนโลยีการผลิตวัสดุรักษ์โลกบางตัวก็พัฒนาขึ้น ทำให้ราคามีความสมเหตุสมผล อย่างปูนซีเมนต์ประเภทคาร์บอนต่ำตอนนี้ราคาเท่าปูนซีเมนต์มาตรฐานทั่วไปแล้ว ดังนั้นวัสดุที่ทำเพื่อโลกนั้นจึงไม่ได้แพงเสมอไป
อีกเรื่องหนึ่งที่สำคัญมากคือการวางแผน ถ้าไม่มีแผนงานเรื่องความยั่งยืนเป็นจุดเริ่มต้น แต่เป็นการค่อยๆปรับ หากต้องแก้หน้างาน ก็จะมีต้นทุนเยอะขึ้น ตรงกันข้าม ถ้าเราใช้เแนวคิดเรื่องอาคารสีเขียวตั้งแต่ต้นแทนที่จะมาอัดวัสดุรักษ์โลกใส่เข้าไปทีหลัง ต้นทุนอาจเพิ่มเพียงนิดหน่อยหรืออาจไม่เพิ่มด้วยซ้ำ และยังตอบโจทย์การใช้งานของลูกค้ามากขึ้น”
นายวชิระชัยยังได้ย้ำถึงความเร่งด่วนไว้ว่า “ถึงประเทศไทยจะปักธงไว้ปี 2065 แต่มันไม่ใช่เรื่องของปีนั้นอย่างเดียว ตอนนี้เราอาจยังไม่เห็นเทรนด์ชัดเจน แต่มันเป็นคลื่นใต้น้ำ โผล่ขึ้นมาแล้วผลกระทบใหญ่เลย”
‘ปรับตัว’ คือคำตอบเดียว
สำหรับผลกระทบที่อาจเกิดต่อคนที่ยังไม่รีบปรับตัว นายสุรัตน์ได้ให้ข้อมูลว่า “ทางสหภาพยุโรป (EU) ได้เริ่มตั้งกำแพงภาษีของสินค้าที่ปล่อยก๊าซเรือนกระจกสูง ในสหราชอาณาจักรก็ประกาศเรื่องภาษีคาร์บอนแล้ว ในด้านการลงทุน กองทุน Blackrock ซึ่งมีขนาดใหญ่มากๆ ของโลกก็ออกนโยบายชัดเจนว่า ESG เป็นเรื่องสำคัญ ซึ่งถ้าเราไม่ทำเรื่อง ESG นักลงทุนก็อาจจะไม่มาลงทุน แม้ดูจะเหมือนเป็นเรื่องไกลตัวสำหรับผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์ที่ไม่ได้เน้นการส่งออกสินค้า แต่อุตสาหกรรมต่างๆ ได้รับผลกระทบจากเรื่องนี้เยอะมากแล้ว จึงหนีไม่พ้นที่มาตรฐานการปล่อยก๊าซเรือนกระจกจะถูกใช้ในอุตสาหกรรมอสังหาริมทรัพย์ด้วยเช่นกัน
นี่คือสาเหตุที่ผู้ประกอบการธุรกิจอสังหาริมทรัพย์หลายใหญ่หลายรายได้ย้ายมาสู่ตลาดคาร์บอนต่ำอย่างชัดเจน โดยมีการตั้งเป้าหมายทั้งเรื่องปริมาณก๊าซเรือนกระจก เครื่องชาร์จรถอีวี พลังงานแสงอาทิตย์ วัสดุที่ยั่งยืน และการจัดการของเสีย คำถามที่เราควรถามคือ เราจะมีที่ยืนหรือถ้าเราไม่ทำเรื่องนี้?”