
การเคหะแห่งชาติเดินหน้าตามนโยบาย พม. 5×5 ฝ่าวิกฤตประชากร สู่การขับเคลื่อนพันธกิจสำคัญ 9 ด้าน ครอบคลุมทุกมิติ ผลักดันที่อยู่อาศัยสำหรับผู้สูงอายุ (Senior Complex) ที่อยู่อาศัยเช่าแนวใหม่ (Smart Home) และปรับปรุงทรัพย์สินอาคาร Sunk Cost และอาคารเก่า พร้อมยกระดับชุมชนต้นแบบสู่การพัฒนาที่ยั่งยืน

นายทวีพงษ์ วิชัยดิษฐ ผู้ว่าการการเคหะแห่งชาติ กล่าวว่า ในปี 2568 การเคหะแห่งชาติได้ขับเคลื่อนงานตามแนวนโยบายของ นายวราวุธ ศิลปอาชา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ ที่มุ่งเน้นการพัฒนาศักยภาพทุนมนุษย์ ผ่านนโยบายสำคัญ พม. 5×5 ฝ่าวิกฤตประชากร สู่การขับเคลื่อนพันธกิจสำคัญ 9 ด้าน ซึ่งใน 5 นโยบายหลักนั้น การเคหะแห่งชาติร่วมขับเคลื่อนนโยบายที่ 5 สร้างระบบนิเวศ (Eco-system) ที่เหมาะสม เพื่อพัฒนาและสร้างโอกาสให้ทุกกลุ่มเป้าหมายและทุกช่วงวัย เข้าถึงที่อยู่อาศัยที่เหมาะสมได้มาตรฐาน ในระดับราคาที่รับภาระได้ ทั้งซื้อและเช่า สร้างชุมชนให้มีความยั่งยืนทั้งด้านสิ่งแวดล้อม เศรษฐกิจ สังคมและวัฒนธรรม โดยมีการออกแบบเพื่อลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก ลดโลกร้อน ตามเกณฑ์การออกแบบและประเมินโครงการชุมชนยั่งยืน (NHA Eco-Village Standard) รวมถึงการออกแบบเพื่อรองรับการอยู่อาศัยของคนทั้งมวล ตามแนวทาง Universal Design (UD) เพื่อพัฒนา Sustainable Affordable Housing และเป็นที่อยู่อาศัย Resilient Housing

ขณะที่ Flagship 9 โครงการที่ต่อยอดนโยบาย 5×5 ฝ่าวิกฤตประชากร การเคหะแห่งชาติสนับสนุน Flagship ด้านที่ 3 “สร้างงาน สร้างรายได้ และพัฒนาคุณภาพชีวิตคนเปราะบาง” ภายใต้โครงการปรับปรุงหรือสร้างที่อยู่อาศัยสำหรับผู้สูงอายุและกลุ่มเปราะบางเพื่อพัฒนาคุณภาพชีวิตที่ดีอย่างยั่งยืน (บ้านสบายเพื่อยายตา) ในพื้นที่เป้าหมายนิคมสร้างตนเอง

นายทวีพงษ์ กล่าวต่อว่า การเคหะแห่งชาติยังคงมุ่งเน้นวิสัยทัศน์ “สร้างบ้าน สร้างสุข เพื่อคุณภาพชีวิตที่ดี” โดยการเคหะแห่งชาติ คว้าอันดับ 1 หน่วยงานในสังกัด พม. ผลประเมิน ITA ปี 2568 ระดับ “ผ่านดี” คะแนน 98.66 เทียบกับปี 2567 เพิ่มขึ้น 2.22 คะแนน ที่ได้ 96.44 คะแนน ขณะที่ผลการดำเนินงานตั้งแต่ปี 2519 จนถึงปัจจุบัน (กรกฎาคม 2568) ได้พัฒนาและจัดหาที่อยู่อาศัยรวมทั้งสิ้นจำนวน 754,999 หน่วย โครงการประกอบด้วย บ้านเอื้ออาทร จำนวน 280,567 หน่วย, เคหะชุมชน จำนวน 142,103 หน่วย, เคหะชุมชนและบริการชุมชน จำนวน 33,660 หน่วย, แก้ไขปัญหาชุมชนแออัด ทั้งปรับปรุงชุมชนที่ดินเดิมและจัดหาที่อยู่อาศัย จำนวน 233,964 หน่วย, พิเศษและบริการชุมชน จำนวน 3,980 หน่วย, เคหะข้าราชการ จำนวน 50,708 หน่วย, แก้ไขปัญหาวิกฤตอสังหาริมทรัพย์ จำนวน 258 หน่วย, ที่พักอาศัยสำหรับมหาวิทยาลัยราชภัฏ จำนวน 2,374 หน่วย, ช่วยเหลือผู้ประสบภัยภาคใต้ จำนวน 845 หน่วย, ฟื้นฟูเมืองชุมชนดินแดง จำนวน 946 หน่วย, บ้านสวัสดิการข้าราชการ 606 หน่วย และอาคารเช่าปี 2559-2560 จำนวน 4,371 หน่วย

ด้านความคืบหน้าของโครงการฟื้นฟูเมือง ประกอบด้วย โครงการฟื้นฟูเมืองชุมชนดินแดง ที่ตั้งอยู่ระหว่างถนนมิตรไมตรี บึงมักกะสัน ถนนประชาสงเคราะห์ และถนนวิภาวดีรังสิต โดยคณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบในหลักการแผนแม่บท (พ.ศ. 2559 – 2567) เมื่อวันที่ 17 สิงหาคม 2559 เพื่อพัฒนาที่อยู่อาศัยใหม่รวมทั้งสิ้น 20,292 หน่วย แบ่งการพัฒนาออกเป็น 4 ระยะ ได้แก่
• ระยะที่ 1 อาคาร G สูง 28 ชั้น 334 หน่วย ก่อสร้างแล้วเสร็จปี 2561 และบรรจุผู้อยู่อาศัยแล้ว
• ระยะที่ 2 อาคาร A1 สูง 32 ชั้น 635 หน่วย คาดว่าจะแล้วเสร็จปี 2569 และอาคาร D1 สูง 35 ชั้น 612 หน่วย ก่อสร้างเสร็จและทยอยบรรจุภายในปี 2568
• ระยะที่ 3 อาคาร A2–A4 สูง 32 ชั้น 1,905 หน่วย เริ่มก่อสร้างหลัง A1 แล้วเสร็จ, อาคาร D2 สูง 35 ชั้น 612 หน่วย คาดว่าจะแล้วเสร็จปี 2569 และอาคาร C1 สูง 34 ชั้น 816 หน่วย อยู่ระหว่างจัดหาผู้รับจ้างก่อสร้าง แปลง D2 จำนวน 2,610 หน่วย คาดว่าจะเริ่มก่อสร้างปี 2572
• ระยะที่ 4 อาคาร C2–C4 รวม 1,632 หน่วย และแปลง B/E รองรับผู้อยู่อาศัยใหม่กว่า 11,136 หน่วย คาดว่าจะเริ่มก่อสร้างในปี 2572

ขณะที่โครงการฟื้นฟูเมืองชุมชนรามอินทรา ปัจจุบันอยู่ระหว่างศึกษาและสำรวจความคิดเห็นของผู้อยู่อาศัย ขณะเดียวกันได้ปรับปรุงแผนแม่บทโครงการ พร้อมจัดทำแบบจำลอง 3 มิติของอาคารใหม่จำนวน 490 หน่วย โครงการฟื้นฟูเมืองชุมชนทุ่งสองห้อง ได้จัดทำกระบวนการมีส่วนร่วมกับผู้อยู่อาศัยและหน่วยงานภาคีเครือข่ายต่าง ๆ เพื่อหาแนวทางการพัฒนาอย่างรอบด้าน และอยู่ระหว่างการจัดทำแผนแม่บทโครงการโดยใช้แนวคิดการพัฒนาเมืองสู่การเป็น Smart City ขณะที่โครงการฟื้นฟูเมืองชุมชนห้วยขวาง ได้จัดทำกระบวนการมีส่วนร่วมกับผู้อยู่อาศัย สำรวจฐานข้อมูล ศึกษาความเป็นไปได้ของโครงการในเบื้องต้น จัดทำ Workshop สะท้อนปัญหาของชุมชน เพื่อนำมาวิเคราะห์เป็นข้อมูลประกอบการจัดทำแผนแม่บทโครงการฯ
นายทวีพงษ์ ยังได้กล่าวถึง มาตรการและความปลอดภัยโครงการที่อยู่อาศัยของการเคหะแห่งชาติรองรับแผ่นดินไหว โดยการเคหะแห่งชาติ ร่วมกับมูลนิธินายช่างไทยใจอาสา และสมาคมวิศวกรโครงสร้างแห่งประเทศไทย ได้เร่งตรวจสอบอาคารที่อาจได้รับผลกระทบจากแผ่นดินไหว จำนวน 660 โครงการทั่วประเทศ พบว่ามีอาคารไม่ได้รับความเสียหายใด ๆ จำนวน 573 โครงการ และได้รับความเสียหายเล็กน้อยถึงปานกลาง จำนวน 87 โครงการ ปัจจุบันตรวจสอบแล้ว จำนวน 44 โครงการ รวม 926 อาคาร สำหรับอาคารที่เสียหายเล็กน้อยถึงปานกลางโดยส่วนใหญ่พบเป็นรอยแตกร้าวตามบันไดหรือผนัง สีหลุดล่อน ซึ่งไม่กระทบกับโครงสร้างอาคารและยังสามารถอยู่อาศัยได้อย่างปลอดภัย

ขณะที่การพัฒนาที่อยู่อาศัยสำหรับผู้สูงอายุ (Senior Complex) โครงการ Senior Complex บางละมุง จ.ชลบุรี จะจัดสร้างเป็นอาคารชุดพักอาศัย จำนวน 14 อาคาร รวมกว่า 1,700 หน่วย มีห้องพักหลายขนาด พร้อมบริการเสริมด้านสุขภาพ โภชนาการ นันทนาการ และผู้ดูแลส่วนบุคคล เพื่อรองรับวิถีชีวิตของผู้สูงอายุในทุกมิติ ขณะนี้อยู่ระหว่างศึกษาความเป็นไปได้ของโครงการ รวมทั้งจัดทำรายงาน EIA ออกแบบรายละเอียด และเปิดจองสิทธิ โดยคาดว่าจะเริ่มก่อสร้างในเดือนสิงหาคม 2569 ส่วนโครงการสวัสดิการที่พักอาศัยข้าราชการ กระทรวงกลาโหม เพื่อให้ข้าราชการชั้นผู้น้อยได้มีที่อยู่อาศัย เป็นการพัฒนาที่อยู่อาศัยพร้อมสาธารณูปโภคและสาธารณูปการที่จำเป็น คำนึงถึงการออกแบบตามหลักการออกแบบสากลสมัยใหม่ (UD) เพื่อรองรับครัวเรือนที่มีผู้สูงอายุและผู้พิการ ตามแนวคิดความเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม (Eco-Friendly Housing) โดยจะจัดทำโครงการนำร่อง 6 โครงการ รวม 819 หน่วย ในพื้นที่กรุงเทพมหานคร จ.พระนครศรีอยุธยา จ.กาญจนบุรี จ.ชลบุรี และ จ.อุดรธานี
ด้านที่อยู่อาศัยเช่าแนวใหม่ (Smart Home) การเคหะแห่งชาติได้ดำเนินการปรับปรุงทรัพย์สินอาคาร Sunk Cost และอาคารเช่าที่อยู่อาศัยเดิม โดยจัดทำโครงการนำร่อง 2 พื้นที่ ได้แก่ โครงการสี่วาพาสวัสดิ์ จ.สมุทรสาคร ซึ่งตั้งอยู่ในพื้นที่ศูนย์กลางอุตสาหกรรมและแรงงาน จะปรับปรุงในลักษณะ Community Living เพื่อสร้างบรรยากาศที่อบอุ่นเหมือนอยู่บ้าน เหมาะสำหรับครอบครัวและแรงงานที่ต้องการที่อยู่อาศัยคุณภาพ และโครงการเทพารักษ์ 4 จ.สมุทรปราการ ตั้งอยู่ที่ ซ.ที่ดินไทย ถ.เทพารักษ์ ต.บางพลีใหญ่ อ.บางพลี จ.สมุทรปราการ เป็นการปรับปรุงอาคารเดิมให้มีความสมบูรณ์ ทั้งด้านโครงสร้าง ความแข็งแรง และความปลอดภัย พร้อมติดตั้งระบบ Smart Energy และ Home Automation เพื่อลดค่าใช้จ่ายด้านพลังงาน เหมาะสำหรับผู้ใช้แรงงานในพื้นที่อุตสาหกรรม และผู้ที่ต้องการเริ่มต้นชีวิตใหม่

นอกจากนี้ การเคหะแห่งชาติยังได้จัดทำแคมเปญ “ฉลองครึ่งปีทอง กับการเคหะแห่งชาติ 2568” ระหว่างวันที่ 21 มิถุนายน – 15 กรกฎาคม 2568 โครงการที่เข้าร่วมรวมกว่า 154 โครงการทั่วประเทศ มากกว่า 10,000 หน่วย ทั้งในกรุงเทพฯ/ปริมณฑล และภูมิภาค ผลลัพธ์ตลอดแคมเปญสามารถส่งมอบอาคารได้ 1,555 หน่วย และยังมีแคมเปญ “หั่นราคาโครงการอาคารเช่าทั่วประเทศ” ให้แก่กลุ่มผู้สูงอายุ/ผู้พิการ กลุ่มผู้จบการศึกษาใหม่ (First Jobber) กลุ่มผู้ถือบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ และกลุ่มประชาชนทั่วไป โดยนำโครงการอาคารเช่า 30 โครงการ จำนวน 3,339 หน่วย มาร่วมโครงการ สามารถทำสัญญาได้จำนวนทั้งสิ้น 388 สัญญา ทำให้ผลการดำเนินงานภาพรวมในปี 2568 สามารถส่งมอบที่อยู่อาศัยให้กับประชาชนได้จำนวน 6,658 หน่วย ตามแผนกำหนดไว้ 6,400 หน่วย (สูงกว่าเป้าหมาย)
พร้อมกันนั้น การเคหะแห่งชาติยังคงเดินหน้าโครงการสินเชื่อเพื่อการพัฒนาที่อยู่อาศัยสำหรับผู้มีรายได้น้อย ซึ่งตั้งเป้าประชาชนกว่า 2.27 ล้านครัวเรือน เข้าถึงที่อยู่อาศัยได้มาตรฐาน ควบคู่กับการยกระดับคุณภาพชีวิตของผู้อยู่อาศัยในชุมชนทุกมิติ โดยนับตั้งแต่ปีงบประมาณ 2563-2568 วงเงินงบประมาณที่ได้รับจัดสรรจำนวน 2,235.022 ล้านบาท รวมวงเงินให้สินเชื่อ 2,470.519 ล้านบาท (ข้อมูล ณ 30 มิถุนายน 2568) สามารถช่วยเหลือกลุ่มผู้มีรายได้น้อยที่ยังไม่มีกรรมสิทธิ์ในที่อยู่อาศัยให้เข้าถึงที่อยู่อาศัยที่ได้มาตรฐานในระดับราคา และในปีงบประมาณ 2568 การเคหะแห่งชาติได้พิจารณาอนุมัติการเช่าซื้อโครงการสินเชื่อฯ ให้กับลูกค้าจำนวน 837 ราย วงเงินรวมทั้งสิ้น 388.800 ล้านบาท

นอกจากนี้ การเคหะแห่งชาติยังได้ดำเนินการจัดทำ “โครงการพัฒนาศักยภาพด้านอาชีพของผู้อยู่อาศัยในชุมชนของการเคหะแห่งชาติ” ตามนโยบายของรัฐบาลในการขับเคลื่อนและฟื้นฟูเศรษฐกิจของประเทศ ผ่านการใช้งบประมาณกระตุ้นเศรษฐกิจในปีงบประมาณ พ.ศ. 2568 โดยคณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบแผนการดำเนินงานโครงการต่าง ๆ ภายใต้กรอบวงเงินรวม 157,000 ล้านบาท การเคหะแห่งชาติได้รับการจัดสรรงบประมาณจำนวน 25 ล้านบาท เพื่อส่งเสริมและพัฒนาทักษะอาชีพให้แก่ผู้อยู่อาศัยในชุมชนผ่านการฝึกอบรม การพัฒนาทักษะใหม่ (Reskill) และการยกระดับทักษะ (Upskill) ครอบคลุม 125 ชุมชนทั่วประเทศ
สำหรับการดำเนินโครงการดังกล่าว ถือเป็นกลไกสำคัญในการตอบสนองต่อนโยบายของรัฐบาลในการลดความเหลื่อมล้ำทางเศรษฐกิจและสังคม เสริมสร้างศักยภาพของประชาชนในทุกช่วงวัย และเป็นการวางรากฐานที่มั่นคงให้แก่สังคมไทยในอนาคต รวมถึงการสร้างอาชีพที่เหมาะสมกับศักยภาพของผู้อยู่อาศัยในแต่ละชุมชน ตอบสนองต่อความต้องการอย่างแท้จริง สามารถเพิ่มรายได้ ลดภาระค่าใช้จ่าย และสร้างความมั่นคงในชีวิต ซึ่งจะส่งผลให้เกิดการขับเคลื่อนเศรษฐกิจฐานรากอย่างเป็นรูปธรรม ประชาชนสามารถพึ่งพาตนเองได้ และมีคุณภาพชีวิตที่ดีอย่างยั่งยืน อันสอดคล้องกับวิสัยทัศน์ของการเคหะแห่งชาติที่ว่า “สร้างบ้าน สร้างสุข เพื่อคุณภาพชีวิตที่ดี”