
สำหรับผู้ประกอบธุรกิจ โดยเฉพาะระดับเอสเอ็มอี การ “ปรับตัว” ถือเป็นหัวใจสำคัญในการบริหารธุรกิจให้อยู่รอด และก้าวข้ามสถานการณ์ต่าง ๆ ได้เสมอ
บริษัท เอส.เจ.อีควิปเมนท์ แอนด์ แคร์ จำกัด เอสเอ็มอีพันธุ์แกร่ง จ.ลำพูน โดยคุณเสกสรร คชพรม กรรมการผู้จัดการ พลิกวิกฤตในช่วงสถานการณ์โควิด-19 นำพื้นฐานธุรกิจเดิมมาต่อยอดสร้างธุรกิจใหม่ นอกจากจะพาองค์กรอยู่รอดแล้ว และยังเป็นขยายตลาดใหม่ด้วย

คุณเสกสรร เล่าว่า ดำเนินธุรกิจแปรรูปโลหะ มากว่า 10 ปี จนช่วงโควิด-19 แพร่ระบาด งานประจำลดน้อยลงมาก ขณะเดียวกัน เกิดปัญหาหน้ากากอนามัย หรือ “แมสค์” ขาดตลาดอย่างรุนแรง แม้แต่พนักงานของตัวเองยังไม่มีใช้
เลือดนักสู้ที่ต้องการพาองค์กรและทีมงานก้าวผ่านสถานการณ์นี้ไปให้ได้ เขาตัดสินใจ สร้างธุรกิจใหม่ นำความเชี่ยวชาญเดิมด้านงานช่าง สร้างเครื่องจักรผลิตแมสค์ ออกมาตอบความต้องการของตลาดให้ได้

Copy & Develop คือ สูตรที่คุณเสกสรรใช้พัฒนาเครื่องจักรจนสามารถผลิตแมสค์ได้ ควบคู่กับหาแหล่งวัตถุดิบต่างๆ และที่สำคัญ เนื่องจากแมสค์ ถูกจัดเป็นเครื่องมือแพทย์ บริษัทได้ขออนุญาต อย. เพื่อขึ้นเป็นสถานที่ผลิตเครื่องมือแพทย์ และยกระดับมาตรฐานทั้งในประเทศและมาตรฐานสากล เช่น ISO13485:2016 (MEDICAL DEVICE MANAGEMENT SYSTEM) , มาตรฐาน ISO9001:2015 (QUALITY MANAGEMENT SYSTEM) มาตรฐาน มอก.2424-2565 และ อย. เป็นต้น
รวมถึง ใช้บริการธนาคารพัฒนาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมแห่งประเทศไทย (ธพว.) หรือ SME D Bank ที่เป็นสถาบันการเงินที่ใช้บริการมานานจนรู้ใจ มาช่วยเติมทุนหมุนเวียนเสริมสภาพคล่องการผลิต

คุณเสกสรร ฉายภาพให้ฟังว่า เวลานั้น ทุกขั้นตอนทำงานแบบ Fast Track แม้จะชื่อแบรนด์ “GAMSAI” (แก้มใส) ก็คิดอย่างปุ๊บปั๊บ นำชื่อลูกสาวคนเล็กมาตั้ง ทำให้ระยะเวลาเพียงประมาณ 5-6 เดือน สามารถคลอดสินค้าแมสค์ออกสู่ตลาดสำเร็จ ซึ่งยังอยู่ในช่วงที่ตลาดมีความต้องการสูงอยู่ ทำให้มีคำสั่งซื้อ สูงกว่ากำลังการผลิตหลายเท่า
นอกจากนั้น ยังพัฒนารูปแบบสินค้าให้หลากหลายประเภท รวมถึง ส่งผลิตภัณฑ์ไปทดสอบคุณภาพในห้องปฏิบัติการทั้งในและต่างประเทศ เพื่อการันตีคุณภาพ สร้างความเชื่อมั่นแก่ลูกค้าสูงขึ้นไปอีก
การปรับตัวครั้งนี้ ทำให้นอกจากจะพาให้องค์กรอยู่รอดแล้ว ยังเป็นการแตกไลน์ขยายสร้างธุรกิจใหม่

อย่างไรก็ตาม เขารู้ดีว่า ยอดขายที่ถล่มทลายในช่วงสถานการณ์โควิด-19 เป็น “ดีมานด์เทียม” เมื่อโรคระบาดคลี่คลาย ความต้องการแมสค์ต้องลดลงอย่างแน่นอน ทีมงานหารือเตรียมพร้อมจะปรับตัวต่อไป ซึ่งจาก Know How การผลิตที่มีอยู่แล้ว ลงตัวที่จะ “กระดาษทิชชู่” เพราะมีพื้นฐานการผลิตใกล้เคียงกันกับแมสค์ อีกทั้ง เป็นสินค้าที่ใช้แล้วทิ้ง ต้องสั่งซ้ำใหม่ต่อเนื่อง และเนื่องจากแบรนด์ GAMSAI ติดตลาดแล้ว และสามารถทำตลาดไปพร้อมๆกันได้ทั้งแมสค์และกระดาษทิชชู่
กระดาษทิชชู่ GAMSAI ออกตลาดประมาณปี 2567 ผ่านช่องทางห้างสรรพสินค้า และออนไลน์ โดยความยากของธุรกิจนี้ เนื่องจากมีคู่แข่งขันในตลาดจำนวนมาก และกำไรต่ำ ส่วนใหญ่จะเน้นแข่งขันเรื่องราคา การสร้างจุดเด่น จึงสำคัญมาก โดยมุ่งที่สร้างความแตกต่างด้วยคุณภาพและแบรนด์ที่น่าเชื่อถือ ด้วยการเป็นกระดาษทิชชู่ความหนา 4 ชั้น นุ่ม เหนียว และไม่เปื่อยยุ่ย ใช้แล้วประหยัด เพราะไม่ต้องใช้ปริมาณมาก

จุดเด่นดังกล่าว ตลาดตอบรับอย่างดี มีคำสั่งซื้อต่อเนื่อง แต่ในกระบวนการผลิต เห็นถึง Pain Point ที่ยังเป็นระบบ Manual ทำงานได้ช้า และสิ้นเปลืองพลังงานสูง ทำให้ต้องการหาสินเชื่อ เพื่อลงทุนเครื่องจักร ซึ่งสินเชื่อ “SME Green Productivity” จาก SME D Bank มาช่วยตอบโจทย์ได้พอดี
“หลังจากลงทุนเครื่องจักรตัวนี้ ทำให้กำลังผลิตเราเพิ่มขึ้น 2.5 เท่า อีกทั้ง เครื่องจักรตัวนี้ ยังช่วยให้สามารถพัฒนาสินค้าได้หลากหลาย เช่น ทำเป็นกระดาษอเนกประสงค์ ซึ่งมีคู่แข่งขันในตลาดไม่มาก นัก ทำให้เราหลีกหนีการแข่งขันได้”

การปรับตัวที่ผ่านมา ช่วยพลิกวิกฤตสร้างโอกาส ทำให้ปัจจุบัน คุณเสกสรร มีธุรกิจหลักถึง 3 กิจการ คือ โรงงานแปรรูปโลหะ แมสค์ และกระดาษทิชชู่ สร้างรายได้ในสัดส่วนใกล้เคียงกัน ช่วยกระจายความเสี่ยงทางธุรกิจ และด้วยความพร้อมที่จะปรับตัวอยู่เสมอ เอสเอ็มอีรายนี้ยังสามารถเติบโตต่อไปได้เสมอ