Friday, 1 August 2025 - 8 : 07 pm
spot_imgspot_img
spot_imgspot_img
spot_img
spot_img

Splendor-Biz

สื่อเศรษฐกิจสร้างสรรค์

ครบครันบนโลกออนไลน์

spot_img
spot_img
spot_img
Friday, 1 August 2025 - 8 : 07 pm

คปภ. ร่วมเวทีเสวนา Multi-Regulatory Approach เสนอ 5 มาตรการหลัก ขับเคลื่อนภาคประกันภัยสู่การเปลี่ยนผ่านด้านสภาพภูมิอากาศอย่างยั่งยืน

เมื่อวันที่ 16 กรกฎาคม 2568 สำนักงานคณะกรรมการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย (สำนักงาน คปภ.) เข้าร่วมเสวนา หัวข้อ “Multi-Regulatory Approach : Enabling Thailand’s Climate Transition” ร่วมกับ คุณจุฬวดี วรศักดิ์โยธิน ผู้อำนวยการ ฝ่ายส่งเสริมความยั่งยืน (ผู้แทนสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์) คุณชนานันท์ สุภาดุลย์ ผู้อำนวยการ ฝ่ายกลยุทธ์สถาบันการเงิน (ผู้แทนธนาคารแห่งประเทศไทย) คุณนวพร วิริยนุพงศ์ ผู้อำนวยการกองนโยบายการออมและการลงทุน (ผู้แทนสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง กระทรวงการคลัง) และคุณสุรพล บุพโกสุม ผู้อำนวยการ ฝ่ายพัฒนาบริการ     ด้านความยั่งยืน (ผู้แทนตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย)

ในงานเสวนาครั้งนี้ ดร. อายุศรี คำบรรลือ ผู้ช่วยเลขาธิการ สายพัฒนามาตรฐานการกำกั ได้นำเสนอมุมมองและแนวทางของภาคประกันภัยสำหรับความเสี่ยงจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ที่มุ่งเน้นมาตรการสำคัญเพื่อรองรับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ผ่านมุมมองสำคัญใน 5 เรื่อง ดังนี้

1. การเสริมสร้างความมั่นคงทางการเงิน การบริหารความเสี่ยงของธุรกิจประกันภัย ผ่านแนวทางการพัฒนาการประเมินความทนทานของธุรกิจประกันภัยภายใต้สถานการณ์จำลอง (Stress Test) ที่เกี่ยวข้องกับ Climate Change ที่สำคัญของสำนักงาน คปภ. คือ การทดสอบผลกระทบที่เกิดขึ้นจากเหตุการณ์อุทกภัยที่เป็นภัยธรรมชาติหลักของประเทศไทย และส่งผลให้เกิดค่าสินไหมทดแทนที่เพิ่มขึ้นในธุรกิจประกันวินาศภัยอย่างมีนัยสำคัญ รวมถึงการนำข้อมูลจากระบบฐานข้อมูลประกันภัย (Insurance Bureau System) มาใช้เพื่อการวิเคราะห์ในการกำหนดมาตรการเพื่อให้ความช่วยเหลือผู้เอาประกันภัยในกรณีสถานการณ์ภัยพิบัติ โดยการวิเคราะห์ข้อมูลการประกันภัยทรัพย์สินรายตำบล เพื่อจัดลำดับความสำคัญของพื้นที่ประสบอุทกภัยตามผลกระทบที่เกิดขึ้น โดยใช้ข้อมูลสำคัญ คือ จำนวนกรมธรรม์ของการรับประกันภัยน้ำท่วม มูลค่าทุนเอาประกันภัยน้ำท่วม และสัดส่วนการทำประกันภัย ตามจำนวนกรมธรรม์/จำนวนหลังคาเรือนในพื้นที่

2. การบริหารจัดการความเสี่ยงด้านสภาพภูมิอากาศและสิ่งแวดล้อม (ESG in Climate Risk Management) โดยการพัฒนาแนวปฏิบัติ เรื่อง การบริหารจัดการความเสี่ยงด้านสภาพภูมิอากาศและสิ่งแวดล้อม (Climate Risk Management Guideline) เพื่อเป็นการเพิ่มประสิทธิภาพของกรอบบริหารความเสี่ยงของบริษัทประกันภัย ให้ครอบคลุมไปยังการบริหารจัดการความเสี่ยงที่เกี่ยวกับสภาพภูมิอากาศ สามารถรับมือและมีความยืดหยุ่น (Resilience) ทั้งความเสี่ยงทางกายภาพ (Physical Risks) และความเสี่ยงจากการเปลี่ยนผ่านทางเศรษฐกิจในอนาคต (Transition Risks) โดยกำหนดหลักการบริหารจัดการความเสี่ยงด้านสภาพภูมิอากาศและสิ่งแวดล้อมภายใต้ร่างแนวปฏิบัติฯ ซึ่งประกอบด้วย 3 ส่วน ได้แก่  

1) การกำกับดูแลและการกำหนดกลยุทธ์การดำเนินงาน (Governance & Strategy) โดยคณะกรรมการบริษัทและผู้บริหารระดับสูงควรนำความเสี่ยงด้านสภาพภูมิอากาศมาบูรณาการเข้ากับการกำหนดกลยุทธ์

2) การบริหารจัดการความเสี่ยง (Risk Management) โดยบริษัทประกันภัยควรมีการบูรณาการความเสี่ยงด้าน Climate change เข้าสู่กรอบการบริหารความเสี่ยงแบบองค์รวม (ERM) ของบริษัท ที่ครอบคลุมทั้งความเสี่ยงทางกายภาพและความเสี่ยงจากการเปลี่ยนผ่าน พร้อมกับประเมินผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นต่อสินทรัพย์ หนี้สิน และกิจกรรมทางธุรกิจที่สำคัญ ผ่านการประเมินความมั่นคงทางการเงิน (ORSA) รวมถึงกำหนดให้ความเสี่ยงด้านสภาพภูมิอากาศเป็นปัจจัยสำคัญที่ต้องพิจารณาในกระบวนการระบุ ประเมิน ควบคุม ติดตาม และรายงานความเสี่ยงด้านสภาพภูมิอากาศอย่างเป็นระบบเสมอ เพื่อให้สามารถระบุและประเมินผลกระทบจากความเสี่ยงขององค์กรได้อย่างมีประสิทธิภาพ

3) การเปิดเผยข้อมูล (Disclosure) โดยบริษัทประกันภัยควรเปิดเผยข้อมูลเกี่ยวกับการดำเนินการด้านสภาพภูมิอากาศและสิ่งแวดล้อมที่สอดคล้องกับมาตรฐานสากล เพื่อให้ผู้เอาประกันภัยและผู้มีส่วนได้เสียในตลาดได้รับทราบ และสามารถนำไปพิจารณาในการตัดสินใจเลือกใช้บริการหรือลงทุนในบริษัท

3. การเปิดเผยข้อมูลด้านสิ่งแวดล้อม สังคม และธรรมาภิบาล (ESG) ของบริษัทประกันภัย (ESG Disclosure) โดยจัดทำและเผยแพร่กรอบแนวทางการเปิดเผยข้อมูลด้านสิ่งแวดล้อม สังคม และธรรมาภิบาล (ESG) ของบริษัทประกันภัย ซึ่งในการพัฒนากรอบแนวทางดังกล่าว มีสาระสำคัญประกอบด้วย แนวทางการเปิดเผยข้อมูลในมิติด้านสิ่งแวดล้อม (Environment) แนวทางการเปิดเผยข้อมูลในมิติด้านสังคม (Social) และแนวทางการเปิดเผยข้อมูลในมิติด้านธรรมาภิบาล (Governance)

4. การลงทุนสีเขียว (Green Investment) สำนักงาน คปภ. เปิดโอกาสให้บริษัทประกันภัยสามารถดำเนินการลงทุนในบริษัทที่เกี่ยวข้องกับพลังงานสะอาด หรือโครงสร้างพื้นฐานที่เกี่ยวข้องกับพลังงานสะอาด หรืออาจจะเป็นการลงทุนในบริษัทที่ให้ความสำคัญกับความยั่งยืน หรือให้ความสำคัญหรือสนับสนุนการดำเนินการในเรื่องสิ่งแวดล้อม สังคม และกำกับดูแลกิจการที่ดี (ESG) โดยมีประกาศคณะกรรมการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย เรื่อง การลงทุนประกอบธุรกิจอื่นของบริษัทประกันชีวิต/บริษัทประกันวินาศภัย พ.ศ. 2556 และที่แก้ไขเพิ่มเติม ที่รองรับการลงทุนสีเขียวของบริษัทประกันภัย

5. การพัฒนาผลิตภัณฑ์ประกันภัย โดยสำนักงาน คปภ. สนับสนุนให้มีการออกผลิตภัณฑ์ประกันภัย ที่ช่วยบริหารความเสี่ยงจากภาคเศรษฐกิจ สังคม และผลกระทบจากสิ่งแวดล้อม ซึ่งได้มีความร่วมมือกับหน่วยงานราชการ และบริษัทประกันภัยในการพัฒนาผลิตภัณฑ์ประกันภัยที่ส่งเสริมความยั่งยืนของสิ่งแวดล้อม สังคม และธรรมาภิบาล โดยเฉพาะผลิตภัณฑ์ประกันภัยที่ช่วยในเรื่องการบริหารความเสี่ยงทางเศรษฐกิจ ผลผลิตทางการเกษตร ความเท่าเทียมในภาคสังคมในการเข้าถึงการบริหารจัดการความเสี่ยงของชีวิตและทรัพย์สิน เช่น

1) การพัฒนาประกันภัย 7 บาท ประกันภัย 10 บาท (Micro Insurance) ซึ่งเป็นการเพิ่มโอกาสในการเข้าถึงการประกันอุบัติเหตุของประชาชน โดยเฉพาะกลุ่มประชาชนที่มีรายได้น้อย

2) การประกันภัยพืชผล ซึ่งจะช่วยลดความเสี่ยงที่เกิดจากภัยพิบัติกับเกษตรกรไทย เช่น การประกันภัยข้าวนาปี เพื่อบรรเทาความเสียหายที่อาจจะเกิดขึ้นจากภัยพิบัติทางธรรมชาติให้แก่เกษตรกร

3) การประกันภัยรถยนต์ไฟฟ้า (EV) ซึ่งปัจจุบันก็มีบริษัทประกันภัยหลายแห่งในตลาดประกันภัยให้ความคุ้มครองกรมธรรม์ประกันภัยรถยนต์ไฟฟ้า

นอกเหนือจากการผลักดันมาตรการกำกับดูแลต่าง ๆ แล้ว สำนักงาน คปภ. ยังมีการดำเนินกิจกรรมต่าง ๆ ที่เป็นการสนับสนุนแนวคิด Sustainability ในภาคประกันภัย ผ่านการดำเนินกิจกรรมที่สำคัญ เช่น การให้รางวัลแก่บริษัทประกันภัยที่ดำเนินธุรกิจตามหลัก ESG เพื่อเป็นการสร้างแรงจูงใจให้บริษัทประกันภัยมีการผสานแนวคิดเรื่อง ESG ในการดำเนินธุรกิจอย่างเป็นรูปธรรม

ผู้ช่วยเลขาธิการ สายพัฒนามาตรฐานการกำกับ ได้กล่าวทิ้งท้ายว่า การนำประกันภัยมาใช้ในการบริหารความเสี่ยงจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศเป็นเรื่องสำคัญ ตลอดจนการนำกลไก E-policy มาใช้ในการดำเนินธุรกิจ จะเป็นเครื่องมือในการสนับสนุนให้ภาคธุรกิจประกันภัยสามารถบรรลุเป้าหมายการลดก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ (Net Zero) ได้อย่างเป็นรูปธรรมยิ่งขึ้น

ข่าวล่าสุด